วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุนัขพันธุ์ปั๊ก

          

         ปั๊ก (Pug) เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก (Toy Dog) มีร่างกายเล็กปานกลาง มีหน้าสั้นและย่น ใบหูพับตก และมีขนสั้นเกรียน หางมีลักษณะ บิดเป็นเกลียวชี้ขึ้นม้วนจนเป็นวงติดกับบั้นเอว ถ้าหากหางม้วนได้ถึงสองตลบก็จัดว่าเป็นลักษณะที่สวยสมบรูณ์ทีสุด หายใจและกรนเสียงดัง
Pug เป็นสุนัขที่ถูกผสมพันธุ์ออกมา จนได้สัดส่วนรูปร่างที่กะทัดรัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตัน และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หัวมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเชิดขึ้นเล็กน้อย ตากลมยื่นออกมาแลดูอ่อนโยน มีสีดำเป็นประกาย หูสั้นตกลงข้างหัวมีความนุ่มคล้ายกำมหยี่ คอสันโค้งเล็กน้อย หางขี้ขึ้นด้านบนม้วนเป็นวงจนติดบั้นเอว ถ้าหากหางม้วนได้ถึงสองตลบก็จะจัดว่าเป็นลักษณะที่สวยงามที่สุด ขาหน้าเหยีดตรง มีขนสั้นละเอียดเป็นประกาย มีสีเหลืองแอพพริค็อด มี marking สีดำที่หน้าและใบหู
Pug เป็นที่นิยมเลี้ยงกันมาก ปั๊กเป็นสุนัขที่มีนิสัยน่ารัก น่าเลี้ยงอีกต่างหาก ถึงหน้าตาเขาจะดูเหมือนคิดมากไปหน่อยถ้าได้ลองเลี้ยงแล้วจะหลงใหลโดยไม่รู้ตัว เพราะความอ่อนโยนของมัน ข้อควรระวังในการเลี้ยงคือสภาพอากาศที่ร้อนปั๊กจะทนไม่ค่อยจะได้ ถ้าทนไม่ไหวอาจเป็นลมแดดได้ และถ้าอากาศเย็นควรให้อยู่ในที่อุ่นๆ หรือหาเสื้อมาสวมให้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด

ถิ่นกำเนิดของสายพันธุ์  :  ประเทศจีน

มาตรฐานสายพันธุ์ 
            น้ำหนัก               6.4 - 8.2 กิโลกรัม
            ส่วนสูง                10 - 11 นิ้ว
            ลักษณะขน        ขนสั้นเกรียน เป็นมัน ไม่ปุกปุย
            สีขน                    สีน้ำตาลแบบลูกวัว สีเงินหรือสีดำ
            จัดอยู่ในกลุ่ม    กลุ่มสุนัข Toy 



ความเป็นมาสุนัข ปั๊ก

ความเป็นมา 
         
    โดยทั่วไปไม่ค่อยมีใครรู้ว่า ปั๊ก เป็นที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในบรรดาสุนัขหลายๆ พันธุ์ที่มีในอังกฤษและประเทศอื่นๆ ในยุโรป มาหลายปี แล้ว
เป็นที่ยอมรับกันว่า ปั๊ก มีถิ่นกำเนิดในจีน และมาประเทศอังกฤษ โดยผ่านมาทางประเทศฮอลแลนด์การที่ มีสุนัขกลุ่มทอยอื่นๆ เพิ่มขึ้นทำให้ ความ
เป็นที่นิยมของ ปั๊ก ในอังกฤษ เริ่มลดลง จนเกือบจะสูญพันธุ์ แต่ได้เพิ่มจำนวนขึ้นโดยการนำเข้าจากประเทศฮอลแลนด์ และออสเตรีย ในรัชสมัย
ของพระเจ้าจอร์จที่ 3 เป็นการต่อ ชีวิตให้กับสายพันธุ์นี้ในอังกฤษ ส่วนสายพันธุ์ในออสเตรเลียที่มีอยู่ได้จาก การนำเข้าจากอังกฤษอีกทีในเวลาต่อมา 


ช่วงชีวิตเฉลี่ย               ปั๊ก สามารถมีชีวิตได้มากกว่า 12 ปี  
  

ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย        6.3-8.1 กก.  
  

 อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์ 
                 เป็นส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบของสุนัขตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งที่ดึงดูดเราให้ต้องหลงไหล ทั้งความแข็งแกร่ง และความกล้าหาญ ที่มีอยู่ใน ปั๊ก สุนัขที่น่ารักพันธุ์นี้ ถ้าคุณมีพื้นที่น้อย หรืออาศัยในห้องชุด ปั๊ก จะเป็นคำตอบสำหรับคุณ พวกเขาไร้ซึ่งกลิ่นอับ ที่อาจพบในสุนัขเล็กพันธุ์อื่น มี ขนที่สั้นและไม่ค่อยมีการพลัดขน จึงเป็นสุนัขที่ค่อนข้างสะอาด  
  

ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล 
              ปั๊ก โดยส่วนมากจะขี้เกียจถ้าปล่อยให้อยู่ตามลำพัง หรือไม่มีอุปกรณ์ฝึกเขา ให้พาเขา เดินหรือเล่นเกมส์ โยนของไปให้เขาเก็ยทุกวัน แต่อย่าให้เขาออกกำลัง กายหนักๆในช่วงที่ มีอากาศร้อนหรือหลังกินอาหารเสร็จ ปั๊ก เป็นสุนัขที่ฉลาด และมีแนวโน้มที่จะดื้อ ไม่ค่อย เชื่อฟังคำสั่ง ไม่ง่ายเลยที่จะฝึกสุนัขพันธุ์นี้ แต่ก็สามารถฝึกได้ และจะทำให้พวกเขาเป็นสุนัขที่ ดีต่อไป ชมรมผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ หรือศูนย์ฝึกที่สามารถฝึกสุนัขให้เชื่อฟังคำสั่งจะช่วย แนะนำ
คุณได้ และจะแนะนำทุกอย่างที่เจ้าของสุนัขควรรู้เพื่อทำให้ ปั๊ก ตัวน้อยเป็นเพื่อนกับเรา ไม่ใช่แค่เป็นสัตว์เลี้ยง  
  

 ข้อควรจำ
           เนื่องจากรูปทรงของตาและหน้าทำให้ ปั๊ก มีแนวโน้มที่จะเกิดการบาดเจ็บที่ตาได้ง่าย ถ้า ปั๊กของคุณกำลังถูตาอยู่ กระพริบตาถี่ๆ มีน้ำตาไหลมากเกิน หรือตามีการเปลี่ยนสีไป ควรปรึกษาสัตว์แพทย์ของคุณโดยทันที และการที่เป็นสุนัขจมูกสั้น ปั๊ก จึงมีปัญหาเกี่ยวกับเพดานปากอ่อน และจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ  
  

ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม 
             เนื่องจากเขาเป็นหมาที่ชอบอยู่กับคนดังนั้นเขาจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน ปั๊กเป็นสุนัขตัวเล็กๆ ที่แข็งแกร่ง เป็นตัวตลกโดยธรรมชาติและจะทำให้ คุณหัวเราะได้เสมอพวกเขานอนกรน หายใจเสียงดัง ทำเสียงฟึดฟัดในจมูก หายใจออกแรง และจามใส่หน้าของคุณ  


ขอบคุณที่มาจาก
- kaewnim.com


วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุนัขพันธุ์ มินิเจอร์ พินเชอร์

สุนัขพันธุ์  มินิเจอร์ พินเชอร์



ลักษณะทั่วไป
     มิเนเจอร์พินช์เชอร์ สุนัขขนสั้นเรียบ คล่องแคล่ว สัดส่วนกลมกลืนกันทุกส่วนดูแข็งแรง ร่าเริง มีความระวาดระวังตลอดเวลาว่องไว มีความจงรักภักดี ปกติจะมีนิสัยไม่ค่อยขี้กลัวหรือตกใจ เชื่อฟังคำสั่ง สามารถนำมาฝึกได้ง่าย มีความกล้าหาญอดทนและทนต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ดี เหมาะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนหรือเฝ้าบ้าน
ความเป็นมา
      มิน พิ๊น (เป็นชื่อเล่นที่บอกถึงความน่ารักของสุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศเยอรมันและพบหลักฐานตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18 แต่รู้จักอย่างเป็นทางการในปี 1895 เนื่องจากมีการก่อตั้งชมรมผู้เลี้ย เยอรมัน พินเชอร์ มีหลักฐานชิ้นหนึ่งบอกว่าพบสุนัขพันธุ์นี้ในป่าเยอรมันตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 โดยรียกกันว่า เรด พินเชอร์ หมายถึง "กวางแดงเล็ก". ซึ่งเป็นต้นกำเนิดสุนัขที่ เพาะพันธุ์มาเพื่อการกำจัดหนู
ลักษณะนิสัย
      มิเนเจอร์พินช์เชอร์ เป็นสุนัขตัวเล็กๆ ที่หยิ่ง และองอาจเช่นเดียวกับสุนัข เทอร์เรีย์พันธุ์อื่นไม่มีความเป็นสุนัขกลุ่มทอย อยู่เลยเขาเป็นเพื่อนที่ภักดีและฉลาด ปราศจากความกลัว ตื่นตัวอยู่ตลอดเหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้ายามอย่างมาก

การดูแล
       มิเนเจอร์พินช์เชอร์เป็นสุนัขที่มีขนสั้นแข็ง ทำให้ไม่ต้องดูแลมากนักเพียงใช้มือลูบ หรือใช้แปรงเล็กๆ สางเอาขนที่หมดอายุออกบ้าง ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำให้บ่อยเกินไป เพราะจะไปลดความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ เพียงเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น ที่หยดด้วยน้ำมันยูคาลิปตัสเล็กน้อย จะช่วยทำสุนัขสดชื่น และกำจัดหมัดที่เจอได้ด้วย ดูแลสุขภาพเท้า ด้วยการตัดเล็บให้สั้นทุกๆ สัปดาห์ 

ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
         ผู้ที่เหมาะกับสุนัขพันธุ์ มิเนเจอร์ พินช์เชอร์ คือ ทุกคนยกเว้นเด็กๆ ที่อายุยังน้อยและผู้สูงอายุ (สุนัขซนมาก) พวกเขามีแนวโน้มที่จะจงรักภักดีต่อทุกคนในครอบครัว แต่อาจจะเลือกใครสักคนเป็นเพื่อนแท้ขณะที่ก็ยังสนุกสนานกับทุกๆ คนอยู่ได้

ข้อควรจำ
    มิเนเจอร์ พินเชอร์เป็นสุนัขที่ร่าเริงมาก ตื่นตัว และเข้ากับ สมาชิกทุกคนในครอบครัวได้ดี 
ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่บ่อยๆ ขณะที่เขาให้ความเพลิดเพลินและสนุกสนานกับเราอยู่นั้น ผู้เลี้ยงก็ต้องสอนให้เขารู้กฎของบ้านตั้งแต่ยังเล็กด้วยและจงตั้งมั่นในความตั้งใจของคุณ ทำให้พวกเขาเพลิดเพลินไปกับคุณด้วย แต่อย่าปล่อยให้ มินพิ๊น เดินโดยปราศจากสายจูง เพราะเขาอาจจะแกล้งทำหูทวนลมก็ได้

มาตรฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ตื่นตัวอยู่เสมอ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ชอบเห่า
ศีรษะ : มีขนาดสัมพันธ์กับขนาดของลำตัว หัวกะโหลกแบน หัวกะโหลกระหว่างหูจะเล็กสู่โคนปาก
หู : โคนอยู่ในระดับสูง หูอาจจะตัดและดามให้ตั้งหรือไม่ตัดหูก็ได้
ตา : ค่อนข้างโต เป็นรูปกลมรี ตาสีดำ ขอบตาสีดำ ยกเว้นสีช็อคโกแลต ขอบตาจะมีช็อคโกแลตด้วย
ดั้งจมูก : มีมุมหักเล็กน้อย
ปาก : มีลักษณะแข็งแรงมาก มีขนาดสัมพันธ์กับส่วนหัวสันปากจะขนานกับสันของหัวกะโหลก ริมฝีปากและแก้มมีขนาดเล็ก
จมูก : สีดำ ยกเว้นสุนัขที่มีสีช็อคโกแลต จมูกจะมีสีช็อคโกแลตด้วย
ฟัน : ขบแบบกรรไกร
ลำตัว : ค่อนข้างสั้นเพศผู้ความสูงของลำตัวมีขนาดเท่ากับความยาวของลำตัว ส่วนเพศเมียจะยาวกว่าเล็กน้อยเส้นหลังตรงอาจจะอยู่ในแนวระดับหรือเอียงสู่ บั้นท้ายก็ได้
คอ : มีขนาดสัมพันธ์กับขนาดของหัวและลำตัว คอมีลักษณะกลมประกอบด้วยกล้ามเนื้อ หนังคอตึง คอตั้งเชิดสง่า
ลำตัวส่วนหน้า : หัวไหล่ ลาดเอียง กระดูกหัวไหล่ทำมุมพอเหมาะเพื่อให้การเดินมีลักษณะคล้ายม้าย่อง
อก : ลึกจรดข้อศอก
ขาหน้า : กระดูกขามีขนาดปานกลาง แข็งแรง มองจากด้านหน้าขาหน้าทั้งสองตรงตั้งฉากกับพื้น ขาหน้าทั้งสองห่างกันพอเหมาะข้อเท้าหน้าแข็งแรงตั้งฉากกับพื้น เท้าเล็กคล้ายแมว เท้าหน้ากลม เล็บหนา นิ้วติ่งควรตัดออก
เอว : สั้น แข็งแรง
สะโพก : มีความสูงใกล้เคียงกับระดับเส้นหลัง
ขาหลัง : ท่อนบนประกอบด้วยกล้ามเนื้อ ข้อเท้าแข็งแรงทำมุมพอประมาณข้อเท้าหลังสั้นทำมุมตั้งฉากกับพื้น เมื่อมองจากด้านหลัง ขาหลังตั้งตรง ขนานห่างกันพอเหมาะ เท้าหลังมีลักษณะเหมือนเท้าหน้า
หาง : โคนหางอยู่ในระดับสูง นิยมตัดหาง
ขน-สี : ขนสั้นแข็ง ขนสีแดงดำทั้งตัว ดำ-แดง,ช็อคโกแลต-แดง
ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก
ส่วนสูง : ประมาณ 10-12.5 นิ้ว
การเดิน-วิ่ง : มีลักษณะคล้ายม้าย่อง ยกเท้าสูง มองจากด้านหน้า-หลัง ขาหน้า-หลัง ตรงไม่บิดงอ ขณะเดินคอเชิดหางตั้ง
ข้อบกพร่อง : สีผิดปกติ เตี้ยหรือสูงกว่ามาตรฐาน


ขอบคุณที่มาจาก
- .petsang.com
dogilike.com

สุนัขพันธุ์มอลทีส

สุนัขพันธุ์มอลทีส


ลักษณะทั่วไป
          
            มอลทีส หรือ มัลทีส เป็นสุนัขที่มีนิสัยร่าเริงแจ่มใส เรียบร้อย และเชื่อฟังคำสั่ง สุภาพอ่อนโยน มีความเป็นมิตรกับคนทั่วไปชอบที่จะให้อุ้มหรือกอดอยู่เสมอ ในบางครั้งอาจจะเกรี้ยวกราดบ้างกับสุนัขด้วยกัน มอลทีสเป็นสุนัขที่มีนิสัยอิจฉาชอบประจบเจ้าของ รักเจ้าของมาก ชอบปกป้องเจ้านายหรืออาณาเขตของมันเองออดอ้อนออเซาะ ไม่เป็นรองใครมีความฉลาดแสนรู้ แต่จิตใจกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวไม่ยอมใครดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงรวมไว้กับสุนัขตัวโตๆ เพราะจะมีโอกาสรอดไม่ถึงแก่ตาย โดยปกติแล้วไม่ควรทิ้งให้อยู่ตามลำพังเป็นเวลานานๆ มอลทีส ไม่ใช่สุนัขที่เลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน แม้ว่าจริงๆแล้ว เขาก็เฝ้าบ้านได้ดีและก็สามารถฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งได้ดีเช่นกัน มอลทีส เป็นสุนัขที่มีความรักให้กับคุณอย่างมากมาย ทำให้คุณชื่นใจทุกครั้งด้วยการคอยต้อนรับคุณที่ประตูเป็นสุนัขที่ฉลาดและชอบให้เอาใจ
ความเป็นมา


            สุนัขมอลทีสมีถิ่นกำเนิดในประเทศ MALTA (แถบทะเลเมอร์ดิเตอริเนียน) มานานเกือบ 2800 ปีแล้ว นักเขียนหรือนักวาดภาพในสมัยโบราณมักนิยมเขียนเรื่องราวหรือภาพของสุนัขพันธุ์นี้ และเป็นที่นิยมเลี้ยงของผู้คนสมัยนั้น และจนกษัตริย์อียิปต์โบราณและ QUEEN VICTORIA ด้วย MALTESE เป็นสุนัขที่มีขนมีขาวสะอาดมีสุขภาพดี คล้ายสุนัขใหญ่กลุ่ม SPANIEL ในปี ค.ศ. 1607 มีการซื้อขายพันธุ์ MALTESE ตัวหนึ่งสูงถึง 2000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 50000 บาท
ลักษณะนิสัย


              มอลทีส ไม่ใช่สุนัขที่เลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน แม้ว่าจริงๆแล้ว เขาก็เฝ้าบ้านได้ดีและก็สามารถฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งได้ดีเช่นกัน มอลทีส เป็นสุนัขที่มีความรักให้กับคุณอย่างมากมาย ทำให้ผู้เลี้ยงชื่นใจทุกครั้งด้วยการคอยต้อนรับคุณที่ประตูเป็นสุนัขที่ฉลาดและชอบให้เอาใจ และถึงแม้จะตัวเล็กแต่ก็กล้าหาญ ซื่อสัตย์และน่ารัก ถือเป็นสุนัขที่สุภาพอ่อนโยนมากในหมู่สุนัขเล็กด้วยกัน แต่ก็กระตือรือร้น ร่าเริง กระฉับกระเฉงและขี้เล่น

การดูแล

             ต้องแปรงขนให้มันทุกวัน เพราะขนยาวๆของมันเป็นสังกะตังได้ง่าย

ขอบคุณที่มาจาก
dogilike.com



 

สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน

สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน


        
            เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์
         เชื่อ กันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่ เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์
       ความ ฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎ ตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวด สุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จน ถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง


ขอบคุณที่มาจาก
pukpuiclub.com

สุนัขพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด

สุนัขพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด






ลักษณะทั่วไป
           
          สิ่งที่ประทับใจของผู้ที่ได้พบเห็นเยอรมันเช็พเพอดที่ดีคือ ความแข็งแรงว่องไว เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตื่นตัวและมีชีวิตชีวา มองโดยรวมแล้วจะกลมกลืนและได้สัดส่วนกันระหว่างส่วนหน้าและส่วนท้าย ตัวจะยาวกว่าส่วนสูง ลำตัวลึก เส้นรอบตัวจะเป็นเส้นโค้งที่กลมกลืนแทนที่จะเป็นเหลี่ยมมุม มีขนาดค่อนข้างใหญ่และอ่อนแอ ให้ความรู้สึกไม่ว่าจะอยู่นิ่งหรือเคลื่อนไหวถึงความกระชับของกล้ามเนื้อและการเคลื่อนที่อย่างนุ่มนวล


ความเป็นมา

      
         มีถิ่นกำเนิดในประเทศเยอรมัน มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อัลเซเชี่ยน" ผู้คนนับพันนับหมื่นที
ต้องอยู่ในโลกมืด ได้อาศัยเจ้าเยอรมันเช็พเพอดนี่แหละที่คอยเป็นพี่เลี้ยงนำทางไหนต่อไหนได้ พิทักษ์สันติราษฎร์ในเยอรมันนี แคนาดา ตามตรอกซอกซอยของบัลติมอร์ หรือในสวนสาธารณะของไฮด์ปาร์คที่มืดสลัว ไปด้วยม่านหมอกในใจกลางกรุงลอนดอน
       ย่อมรู้ดีว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานรักษากฎหมาย ที่ไม่ย่นระย่ออย่างใดทั้งสิ้น เขาทำหน้าที่เฝ้าเหมืองเพชรในคิมเบอร์ลี่ย์ก็ได้ เฝ้าโรงเรียนในนิวยอร์คก็ได้ หรือให้เฝ้าฐานทัพอากาศที่ทริโปลีก็ได้ ไม่มีใครสามารถคำนวณได้ว่าสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอด ได้ช่วยชีวิตคนไว้เท่าไรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่สอง โดยที่การดมกลิ่นหาทหารบาดเจ็บบ้าง ถือสารและลำเลียงเวชภัณฑ์บ้าง คอยเตือนหน่วยลาดตระเวนในป่าต่อการถูกซุ่มโจมตีบ้าง ตลอดจนการตรวจรักษาแนวชายฝั่งทะเลเพื่อกันการก่อวินาศกรรม และค้นหาชาวบ้านที่ถูกซากปรักหักพังทับถมอยู่เนื่องจากการถูกระเบิดทางอากาศ ในยามไม่มีศึกสงคราม มันก็ทำงานเป็นการกุศล
       เนื่องจากจมูกที่ไวสามารถนำคนค้นหาพวกที่ถูกหิมะถล่ม ฝังเอาไว้ในเทือกเขาแอลป์ของสวิส ในปัจจุบันสุนัขพันธุ์นี้มีรูปร่างที่สวยงาม เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง เป็นผลมาจากการผสมของสุนัขต้อนแกะหลายชนิดมานับศตวรรษ ซึ่งรวมเอาสุนัขที่มีขนาดย่อมแต่ว่องไวของท้องทุ่งเยอรมันภาคเหนือ กับสุนัขที่โตล่ำสันกว่าของภูมิภาคที่เป็นขุนเขาทางใต้เอาไว้ด้วย แม้จะสิ้นศตวรรษที่ 19 ยุคเลี้ยงแกะของเยอรมันได้สิ้นสุดลง แต่อย่างไรก็ตามนักเพาะพันธุ์สุนัขไม่กี่คนก็ยังพยายามสงวนพันธุ์อันมีคุณสมบัติอันวิเศษในการเลี้ยงแกะเอาไว้
      ซึ่งนับว่าควรแก่การยกย่องมากที่สุดได้แก่ ร้อยเอกทหารม้าผู้หนึ่งชื่อ มาร์กฟอนสเตฟานิตช์ ซึ่งได้ลงเรี่ยวลงแรงแข็งขัน เพื่อที่จะทำให้สุนัขพันธุ์นี้เข้ามาตรฐาน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1889 และได้เจริญเติบโตเรื่อยมาจนมาเป็นสโมสรสุนัขที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง โดยการเพาะพันธุ์สุนัขอย่างเดียว จากความพยายามของร้อยเอกฟอนสเตฟานนิตช์กับพรรคพวก ที่ได้พยายามเสาะหาสุนัขที่ใช้งานได้ดีและฉลาด และแล้วผลที่ได้ก็น่าภาคภูมิใจ ที่เมื่อมองสุนัขพันธุ์นี้ขณะที่มันปฏิบัติตามคำสั่งของนายโดยไม่ผิดพลาด

ลักษณะนิสัย
     
       เยอรมันเช็พเพอดมีบุคลิกที่เด่นชัดคือ มีการแสดงออกถึงความไม่หวาดหวั่นแต่ก็ไม่ก้าวร้าว มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกระตือรือร้นและตื่นตัวกระฉับกระเฉง เต็มใจจะรับใช้เต็มที่ในลักษณะของการเป็นเพื่อน เป็นสุนัขเฝ้าบ้านนำทางผู้ที่อยู่ในโลกมืด เป็นสุนัขต้อนฝูงสัตว์ หรือทำหน้าที่อารักขา สุนัขจะไม่ขี้ขลาดหรือหลบอยู่หลังผู้เป็นเจ้านาย ไม่ควรจะอ่อนไหว ไม่มองไปรอบๆ หรือแหงนหน้ามอง ไม่แสดงอาการตื่นตระหนก โดยจะหางตกเมื่อได้ยินเสียงหรือมองเห็นสิ่งแปลกๆ หากสันขมีอุปนิสัยดังกล่าวข้างต้นจะถูกตัดสินว่ามีความบกพร่องอย่างร้ายแรง สุนัขจะต้องยอมให้กรรมการตรวจฟันและลูกอัณฑะ ถ้าหากสุนัขกัดกรรมการจะต้องถูกไล่ออกจากสนามประกวด สุนัขที่อยู่ในอุดมคติควรที่จะสามารถใช้งานในลักษณะที่ไม่หยิบโหย่ง ผสมผสานกับลำตัวและการก้าวย่างที่เหมาะกับงานการที่ทำ ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน

การดูแล 
         

         เยอรมัน เชพเพิร์ด ต้องการการดูแลเอาใส่ใจ เขาเป็นสุนัขที่ร่าเริง และต้องการสิ่งเร้าทางใจอยู่บ้าง ดังนั้นการพาเดินควบคู่กับการฝึก เช่นการฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งหรือ ให้ไปเก็บลูกบอลที่ปาออกไปเป็นประจำ จะเพิ่มคุณภาพชีวิตของสุนัขได้ดี การตัดแต่งขนเพียงสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอ


ข้อควรจำ

         การเลือกซื้อ เยอรมัน เชพเพิร์ด ให้ดี ควรแน่ใจว่า ทั้งประวัติพ่อพันธุ์และประวัติแม่พันธุ์ของลูกสุนัขตัวนั้นผ่านการตรวจโรคข้อสะโพกอักเสบแล้ว สภา เยอรมัน เชพเพิร์ด ของออสเตรเลีย ยังมีหลักสูตรการปรับปรุงพันธุ์ที่จะช่วยกรองสุนัขเพศผู้ ที่เป็นโรคโลหิตจางและโรคข้อศอกอักเสบอีกด้วย

 





การเลี้ยงสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล

สุนัขพุดเดิ้ล




            พุดเดิ้ล ได้ชื่อว่าเป็น สุนัข ที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลก และขึ้นชื่อว่าฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด แถมยังอดทนไม่ขี้แย เลี้ยงง่าย แม้จะปากเปราะไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นหมาที่เห่าไม่รู้เรื่อง ยิ่งในบ้านเรา พุดเดิ้ล สายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย มันกลายเป็นหวานใจตัวจ้อยของหลายๆ ครอบครัว เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมยังมีลักษณะเป็นเหมือนเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สดใสมีชีวิตชีวา มีนิสัยรักสวยรักงาม ชอบเสริมสวย ชอบเที่ยว และเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้เร็ว



อาหารและการดูแล สุนัข พุดเดิ้ล

         อาหารการกินของ สุนัข พุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด อาหารสำเร็จรูปนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน ได้แก่ อาหารสูตรลูกสุนัข อาหารสูตรสุนัขโต และอาหารสูตรสุนัขแก่ การให้อาหารก็ควรให้ตรงตามอายุและสูตร เนื่องจากสุนัขในแต่ละวัยนั้นมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ลูกสุนัข จำเป็นต้องได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนสูงกว่าสุนัขโต ในขณะที่ร่างกายของสุนัขโตจะต้องการอาหารประเภทพลังงานมากกว่าโปรตีน อย่างนี้เป็นต้น และปริมาณการให้อาหารก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะ พุดเดิ้ล จัดเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กินไม่มาก


         นอกจากเรื่องของโภชนาการแล้ว การให้ อาหารสุนัข ยังควรคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ที่พร้อมจะทำร้ายสุนัขของเรา ส่วนในด้านการดูแลความสะอาดของ พุดเดิ้ล จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะ พุดเดิ้ล มีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อยๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด ซึ่งจะดีมากหากจะหยอดน้ำยาเช็ดหูเข้าไปก่อนประมาณ 5 นาทีเพื่อทำให้สิ่งสกปรกอ่อนตัว และง่ายในการเช็ดออกมา แต่ระวังอย่าแหย่สำลีลึกจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อหูชั้นในได้


         นอกจากนี้ ตาก็เป็นอวัยวะสำคัญที่พบปัญหา พูเดิ้ล ส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย เจ้าของจึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นานๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก นอกจากนั้น ยังควรหมั่นตรวจดูดวงตาของ สุนัข พูเดิ้ล ด้วยว่ามีฝ้าขาวๆ หรือรอยขีดข่วน รอยแผลบ้างหรือไม่

พัฒนาการของสุนัข

            ผู้ที่เลี้ยงสุนัขตั้งแต่ตัวเล็กมักจะแปลกใจว่าเผลอเพียงแป๊ปเดียว สุนัข ของคุณก็เป็นหนุ่มเป็นสาวพร้อมที่จะผสมพันธุ์ให้กำเนิดลูกหลานกันแล้ว สุนัขแต่ละพันธุ์มีเวลาในการเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่เท่ากัน บางพันธุ์ใช้ เวลาเพียง 6-8 เดือน บางพันธุ์ใช้เวลาปีหนึ่ง สุนัขพันธุ์ยักษ์อย่างเกรดเดน เซสต์เบอร์นาร์ดอาจต้องใช้เวลานานถึง 2 ปีกว่าที่จะถึงวัยเจริญพันธุ์ เราจะสังเกตความเป็นหนุ่มเป็นสาวของสุนัขเราได้จากตัวผู้จะมีลูกอัณฑะ 2 ลูก ส่วนตัวเมียจะมีอาการเป็นสัด(heat) มีเลือดออกมาจากอวัยวะเพศ พร้อมที่จะผสมพันธุ์กัน และให้กำเนิดลูกสุนัขตัวน้อยๆ ต่อไป

ช่วงระยะที่สุนัขเพศเมียเป็นสัด

          ช่วงนี้สามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงในตัวสุนัขมากที่สุด อวัยวะเพศของสุนัขจะบวม และมีเลือดสีแดงเหมือนประจำเดือนของ ผู้หญิงไหลออกมาจากช่องคลอด เจ้าของสุนัขต้องทำใจเป็นอย่างมาก หากได้เลี้ยงสุนัขเพศเมียในตอนนี้ เพราะจะมีบรรดาสุนัขตัวผู้ หนุ่มใหญ่ หนุ่มเล็ก มาป้วนเปี้ยนพร้อมส่งเสียงเห่าหอนไม่ขาด ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนอกจากมันจะมีเลือดไหลออกมาแล้ว ยังจะปล่อยสารพีโรโมน ออกมา เพื่อล่อให้ตัวผู้รู้ว่ามันกำลังใกล้จะถึงเวลาผสมพันธุ์แล้ว

ระยะเวลาที่ควรผสมพันธุ์

           หากปล่อยให้สุนัขเดินเพ่นพ่านเมื่อเป็นสัดครั้งแรกก็มักจะถูกตัวผู้ต้อนและ ผสมพันธุ์ทันที แต่หากเราควบคุมได้ขอแนะนำว่าไม่ควรปล่อยให้ ผสมพันธุ์กันตอนเป็นสัดครั้งแรก เพราะร่างกายของสุนัขยังไม่เติบโต เต็มที่ ควรรอให้เป็นสัดครั้งที่ 2 ร่างกายของสุนัขมีความพร้อมมากกว่า เดิมจะดีกว่า สุนัขตัวผู้นั้นจะผสมพันธุ์ได้ตลอดเวลา อยู่ที่ว่าตัวเมียของ เรา จะพร้อมตอนไหนเท่านั้น

ขั้นตอนการอุ้มท้องของสุนัข

           หลังจากที่สุนัขตัวเมียและตัวผู้ได้ผสมพันธุ์กันแล้ว ส่วนใหญ่จะทำให้ ตัวเมียตั้งท้อง อาการภายนอกที่เห็นก็คือท้องของสุนัขตัวเมียเริ่มใหญ่ขึ้น ทุกวันจนดูอุ้ยอ้าย นมทุกเต้าตั้งชันขึ้นจนถึงวันใกล้คลอดจะใหญ่คล้อย ลงมา สุนัขที่กำลังจะเป็นแม่มันจะรู้ตัวดีว่ามันควรปฏิบัติตัวอย่างไร เป็นต้นว่า กินมาก นอนบ่อย เราควรบำรุงครรภ์ของมันด้วยการให้อาหาร เป็นพิเศษ เสริมด้วยวิตามินบำรุงลูกของมัน ทั้งนี้ต้องได้รับคำปรึกษา จากสัตวแพทย์ใกล้บ้าน

สถานที่คลอดของสุนัข

            พฤติกรรมของสุนัขที่สำคัญในขณะ ที่กำลังใกล้ จะถึงวันคลอด แม่สุนัข จะพยายามเตรียมหาสถานที่ที่จะคลอดลูก ของมันไว้ล่วงหน้า ถ้าเราไม่ได้เตรียมที่ คลอดให้กับมัน มันจะเสาะหาเองโดยใช บริเวณที่ลับตาคน และสัตว์อื่น ทั่วไป เช่น ในโรงรถ โคนต้นไม้ใหญ่ ใต้ถุนบ้าน เพื่อเป็นการถูก สุขลักษณะ และป้องกันไม่ให้ลูกสุนัขได้รับอันตราย ควรเตรียมบ้าน ไว้ให้มัน โดยดัดแปลงจากกรงที่ใช้ขัง เสริมด้วยพื้นที่อ่อนนุ่ม และทำความ สะอาดง่าย เช่น ผ้ายาง เมื่อสังเกตเห็นว่าใกล้เวลาคลอดเต็มที่แล้วจึงนำ สุนัขท้องแก่ของเราไปขังไว้รอจนกว่ามันจะคลอดเสร็จ และเข้าที่เรียบร้อย จะให้มันออกได้

เมื่่อสุนัขคลอดลูกออกมาแล้ว

            สุนัขโดยทั่วไปจะคลอดลูก และจัดการทุกอย่างภายหลังจากการคลอด สำเร็จ ได้ด้วยตัวเอง แม้กระทั่งการทำความสะอาดลูกของมันทุกๆตัว จะมีปัญหาบ้างก็ตรงสุนัขเพิ่งท้องเป็นครั้งแรก ที่อาจจะไม่ชำนาญในการ ดูแลลูกอ่อน เราซึ่งเป็นเจ้าของมัน ต้องคอยหมั่นสังเกต และคอยช่วยดูแล อย่างห่าง ๆ มีไม่น้อยเหมือนกันที่สุนัขที่ท้องครั้งแรก มักจะช่วยชีวิต ลูกของมันไม่ได้ โดยทำไม่เป็นแม้กระทั่งการกัดรกให้ขาดหลังการคลอด สิ่งเหล่านี้ต้องอยู่ในความช่วยเหลือของเรา 

ผ่าตัดช่วยเหลือสุนัขคลอดลูก

              กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับคน สุนัขท้องแก่บางตัวมีปัญหาที่ คลอดด้วยวิธีธรรมชาติไม่ได้ หากเจ้าของได้หมั่นเอาใจใส่ และนับวันเวลา ตั้งท้องของ มัน และสังเกตว่าเวลาที่มันจะคลอดเจ้าตัวเล็กๆออกมาแล้ว อย่านิ่งนอนใจ ควรนำสุนัขของเราไปให้สัตวแพทย์ตรวจ อาจจะมีปัญหาเกี่ยว กับลูกอ่อนที่อยู่ข้างในท้อง ถ้าเป็นไปได้ หมออาจจะตัดสินใจผ่าตัดเอาลูกในท้องออก ช่วยให้ปลอดภัย ทั้งแม่ และลูกได้

การฉีดวัคซีนให้ลูกสุนัข

           ลูกสุนัขต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามระยะเวลาที่สัตวแพทย์กำหนด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้ายแรงและสร้งภูมิคุ้มกันให้กับลูกสุนัข เรามักจะเริ่มฉีควัคซีนเมื่อลูกสุนัขอายุได้ 6-8 เดือน ป้องกันโรคไข้หวัด อายุ 10 สัปดาห์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสลำไส้ อายุ 12 สัปดาห์ ฉีดวัคซีน ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า อายุ 14 สัปดาห์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัดอีกครั้ง อายุ 16 และ 24 สัปดาห์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสลำไส้ และโรคพิษสุนัขบ้า อีกครั้ง เช่นเดียวกัน

อุปกรณ์เสริมสำหรับให้ยาและให้อาหารลูกสุนัข

           ลูกสุนัขก็เหมือนทารกที่จะรอแต่ดื่มนมจากอกแม่ ของมัน ย่อมไม่เพียงพอแน่ เราควรจัดหาอุปกรณ์ สำหรับเลี้ยงดูลูกสุนัขที่ยังพึ่งตัวเองไม่ได้ เช่น กรวยยาสำหรับป้อนอาหารเหลว ขนมนมสำหรับ ป้อนนม สลิงฉีดยาสำหรับป้อนยา เป็นต้น

วิธีป้อนนมให้ลูกสุนัข 

          ลูกสุนัขที่ยังอ่อนมากๆลืมตายังไม่ได้ จำเป็นที่จะ ต้องได้รับอาหารที่เพียงพอ กรณีที่แม่ของมันคลอดลูกออกมามาก ทำให้มีน้ำนมที่จะเลี้ยงลูกไม่เพียงพอ เราต้องช่วยจัดหาน้ำนมเพิ่มให้มัน โดยใช้ขวดนมเด็กใส่น้ำนมเลี้ยงเด็กทารก ป้อนให้มันดูดกิน หากเป็นเด็กทารกการป้อนนมจากขวดต้องให้เด็กนอน หงาย แต่ลูกสุนัขควรให้มันอยู่ในท่ายืนหรือนอนคว่ำปกติ แล้วจึงป้อนนม จากขวดให้มันดื่มกินก็ได้

อาหารเสริมกับน้ำนมแม่

            น้ำนมที่ใช้เลี้ยงลูกสุนัขทั่วไปมีขายตามท้องตลาด ไม่ควรให้นมข้มหวาน เช่นเดียวกับที่ห้ามใช้ในเด็กทารก ถ้าเป็นไปได้การผสมนมให้ลูกสุนัขควร บีบน้ำนมจากแม่ของมันผสมกับนมกระป๋องสำหรับเลี้ยงลูกสุนัข เพื่อที่มัน จะได้คุ้นเคย และดื่มกินได้มากกว่าปกติ 

อาหารสำหรับลูกสุนัข

            ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า สุนัขก็ต้องการอาหารเช่นเดียวกับคน ยิ่งเป็นลูก สุนัขด้วยแล้วอาหารที่ให้มันต้องประกอบไปด้วยสารอาหารอย่างครบถ้วนเท่า ที่มันต้องการ เพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายของมันได้เติบโตขึ้นมาเป็นสุนัขใหญ่ ที่สมบูรณ์อย่างเต็มที่ สุนัขที่สมบูรณ์จะซนเหมือนเด็กพฤติกรรมของสุนัขเมื่อเติบโตมาได้ประมาณ 7-8 เดือน จะมีนิสัยซนมาก เหมือนกับเด็ก ยิ่งถ้าหากคลอกเดียวกับมัน มีพี่น้องที่โตไล่ๆกันมากกว่า1 ตัว ด้วยแล้วมันจะรวมกลุ่มกันทั้งกัด ทั้งวิ่งขับกันจนดูน่าเวียนหัวไปหมด พฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นกับลูกสุนัขวัยนี้ก็คือ การชอบกัดแทะสิ่งต่างๆ ควรจัด หากระดูกที่ทำจากหนังอัดเพื่อให้พวกมันแทะโดยเฉพาะ ดีกว่าที่จะปล่อยให้ มันไปแทะขาโต๊ะ รองเท้า จนเสียหายไปหมด


ขอบคุณที่มาจาก
guru.google.co.th

การเลี้ยงชิวาวา

การเลี้ยงชิวาวาน้องหมาสุดน่ารัก


หาน้องชิมาเลี้ยงสักตัว

         สำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ ว่าจะซื้อสุนัขพันธุ์ชิวาวามาเลี้ยงดีหรือไม่นั้น มีข้อแนะนำในการซื้อสุนัขพันธุ์ชิวาวานี้ ก่อนอื่นควรเริ่มต้นจากการศึกษามาตรฐานสายพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับจากทั่ว โลก สุนัขพันธุ์ชิวาวานั้น อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 10 – 15 ปี เพราะฉะนั้นถ้าผู้ที่ไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจมากก่อน อาจต้องเลี้ยงสุนัขที่ไม่เป็นที่ต้องการไปอีก 10 – 15 ปี ในการที่จะเลี้ยงน้องชิได้ดีนั้น ต้องมีความเข้าใจในชีวิตและความเป็นอยู่ของน้องชิ สุนัขทุกตัวต้องการความรัก ความเอาใจใส่ และความเข้าใจจากผู้ที่เป็นเจ้าของด้วย


วัตถุประสงค์ในการเลี้ยง

         ก่อน ที่จะตัดสินใจซื้อสุนัขพันธุ์ชิวาวามาเลี้ยง สำหรับน้องชิถือว่าเป็นสุนัขพันธุ์ที่มีขนาดเล็กเลี้ยงง่าย เห่าไม่เก่ง กินน้อย สามารถเลี้ยงในบ้านที่มีเนื้อที่น้อย เช่น คอนโดมีเนียม อพาร์ทเมนท์ เป็นต้น น้องชิเป็นสุนัขที่รักความสะอาดไม่ต้องใช้เวลาในการดูแลมากนัก ถึงแม้ว่าจะเป็นน้องชิขนยาวก็เพียงแค่อาบน้ำ แปรงขนนิดหน่อยเป็นอันเรียบร้อย นอกจากนี้สุนัขพันธุ์ชิวาวายังเป็นสุนัขที่ฉลาด สามารถฝึกหัดง่าย เชื่อฟังคำสั่ง ขี้เล่น จงรักภักดีต่อเจ้าของมาก จนดูเหมือนกับว่าติดเจ้าของ สุนัขพันธุ์ชิวาวาไม่ชอบอยู่ตัวเดียว เวลานายเดินไปไหนมันจะคอยมองดูเจ้านายของมันให้อยู่ในสายตาตลอดเวลา และที่สำคัญสุนัขพันธุ์ชิวาวามีขนาดที่เล็ก สามารถนำพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของน้องชิ


       น้องชิ มีข้อควรระมัดระวังอยู่บ้างคือ สุนัขพันธุ์ชิวาวานี้ไม่ชอบอากาศเย็นและจะมีอาการสั่นเมื่อตื่นเต้นหรือตกใจ ด้วยขนาดที่เล็กและบอบบางจังต้องระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับสุนัข และอีกปัญหาหนึ่งก็คือเวลาน้องชิคลอดตรงที่หัวโตเป็นแอปเปิลแต่ตัวเล็ก จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คลอดยาก ทำให้บางครั้งต้องผ่าออกเพื่อความปลอดภัย ของน้องชิด้วย
        การเลือกสุนัขพันธุ์ชิวาวามาเลี้ยงนั้น คือ ถ้าเป็นลูกสุนัขควรจะมีอายุอย่างน้อย 8 สัปดาห์ สุนัขยิ่งอายุน้อย จะยิ่งเลี้ยงยาก และมีปัญหาในการเลี้ยงมาก แต่ถ้าเป็นลูกสุนัขที่หย่านมแล้วและอายุไม่ต่ำกว่า 2 เดือน จะเลี้ยงง่ายกว่า และโอกาสรอดมีมากกว่า เหมาะสำหรับผู้เริ่มเลี้ยงสุนัข
ในการเลือกซื้อ ผู้ซื้อควรตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่าจะเชื่อคำโฆษณาของผู้ขาย และควรเลือกสุนัขที่มีสุขภาพดี ไม่เป็นโรค โดยดูจากลักษณะภายนอก ท่าทาง และอารมณ์
ปัจจัยสำคัญของการเลี้ยงน้องชิ
1. สถานที่
     ผู้ที่คิดจะเลี้ยงสุนัขควรจะมีสถานที่หรือบริเวณพอที่สุนัขสามารถจะวิ่งเล่นออกกำลังกายได้บ้าง และจัดเป็นสัดส่วนเพื่อปกป้องข้าวของของผู้เลี้ยงเสียหาย เช่น การกัดแทะ การเยี่ยวรดสิ่งของ การอุจจาระไม่เป็นที่เป็นทาง และการลักขโมยของกิน -..-
2. ความพร้อมของเจ้าของ
     เมื่อคิดจะเลี้ยงสุนัขแล้ว เจ้าของทุกๆ ท่านจะต้องมีเวลาให้กับน้องชิด้วย ซึ่งจะเกี่ยวพันถึงความพร้อมของสถานที่ด้วย ถ้าหากไม่มีพื้นที่ถ้าจะให้น้องชิของเราได้วิ่งเล่น แต่เรากลับจับน้องชิไปขังไว้ในกรง ทำให้น้องชิกดดัน แล้วจะได้ยินเสียงเห่าหนวกหูทำให้ละแวกบ้านได้รับความเดือนร้อนไปด้วย และยังส่งผลถึงน้องชิทำให้เราไม่สามารถเห็นความน่ารักของน้องชิตามธรรมชาติได้ ทำให้อุปนิสัยผิดไปจากเดิม แต่ถ้าหากมีความต้องการอยากจะเลี้ยงจริงๆ ก็ต้องมีการจัดแจงเวลาให้เหมาะสม เช่นการพาน้องชิออกไปวิ่งเล่นตามสวนสาธารณะต่างๆ
3. ความรัก
     ผู้ที่คิดจะเลี้ยงน้องชิ จะต้องมีความรัก ความจริงใจและเสมอต้นเสมอปลายให้กับน้องชิด้วย บางคนได้ลูกสุนัขมาเลี้ยงเพราะความน่ารัก ในขณะที่ยังเป็นลูกสุนัขจึงนำมาเลี้ยง แต่พอสุนัขเริ่มโตขึ้น ความน่ารักที่ได้มาเหล่านั้นหายไป นิสัยใจคอเปลี่ยนไป รูปร่างโตขึ้นผิดไปจากตอนแรก อาจจะทำให้ความรักที่มีต่อลูกสุนัขตัวเล็กๆ จืดจางลงไป เริ่มไม่สนใจ ปล่อยปะล่ะเลย ดังนั้นผู้ที่คิดจะเลี้ยงน้องชิและสุนัขพันธุ์อื่นๆ จึงควรให้ความรัก ความเอ็นดูความจริงใจกับสุนัขอย่างเสมอต้นเสมอปลายด้วย
4. ความเอาใจใส่
     การเลี้ยงน้องชิจะทำให้ต้องมีภาระเพิ่มขึ้น เช่น ต้องเช็ครอยเท้าที่สกปรกตามพื้นบ้าน ต้องแปรงขน อาบน้ำให้ คอยกำจัดเห็บที่รบกวน หรือต้องคอยสนใจสังเกตว่า น้องชินั้นมีสุขภาพอย่างไร ในเรื่องการขับถ่าย ท้องเสียหรือไม่ กริยาท่าทางร่าเริงหรือหงอยๆ ซึมๆ ไม่สบาย การเดิมไม่ถนัด เป็นแผล หรือขาเคล็ดขาหัก สิ่งที่เราสามารถสังเกตว่าน้องชิไม่สบายแบบง่ายๆ คือจมูก ถ้าหากน้องชิมีจมูกแห้งไม่เป็นมัน และถ้าน้องชิของเรานั้นไปกินหญ้า หรือใบตะไคร้ แสดงว่าน้องชิของเรานั้นมีอาการไม่สบาย ต้องช่วยเหลือห้ามปล่อยไว้เด็ดขาด


ขอบคุณที่มาจาก
- chihuahua.in.th